นิทานเวตาล(เรื่องที่10)
ประวัติผู้แต่ง
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์ที่ ๒ แห่งราชวงศ์จักรีมีพระนามเดิมว่า ฉิม ครองราชย์ ๗กันยายน พ.ศ.๒๓๕๒ ถึง ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๗พระราชสมภพเมื่อวันพุธ ขึ้น ๗ค่ำ เดือน ๔ ปีกุน เวลาเช้า ๕ ยาม ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๑๐เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๔ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชกับกรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประสูติ ณ บ้านอัมพวา แขวง-เมืองสมุทรสงครามขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงมีพระชนมายุ๑๖ พรรษา พระราชบิดาจึงโปรดสถาปนาให้ดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศราสุนทร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จสวรรคต พระองค์จึงเสด็จขึ้นครองราชย์นับเป็นองค์ที่ ๒ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย”ทรงครองราชย์อยู่ ๑๕ปี ถึงปี พ.ศ. ๒๓๖๗ได้เสด็จสวรรคต เมื่อพระชนมายุได้ ๕๖พรรษากับ ๕เดือน พระบรมราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่๒ ใช้รูปครุฑ
ลักษณะคำประพันธ์
บทละครรำ เรื่อง อิเหนา มีรูปแบบการแต่งกลอนบทละครซึ่งมีลักษณะบังคับเหมือนกลอนสี่สุภาพ แต่ละวรรคมักจะขึ้นต้นด้วยคำว่า “เมื่อนั้น” “บัดนั้น” และ “มาจะกล่าวบทไป” กลอนบทละคร บทหนึ่งมี ๔ วรรค วรรคละ ๖ คำ หนึ่งบทมี ๒ บาท เรียกว่าบาทเอก และบาทโท ๑ บาท เท่ากับ ๑ คำกลอน มีลักษณะการสัมผัสดังนี้
เรื่องย่อ
ท้าวกะหมังกุหนิงส่งทูตไปสู่ขอบุษบา แต่ได้รับการปฏิเสธจากท้าวดาหาจึงเตรียมจัดยกทัพไปตีเมืองดาหาโดยให้พระอนุชา ยกทัพมาช่วย ท้าวกะหมังกุหนิงให้วิหยาสะกำเป็นทัพหน้า พระอนุชาทั้งสองเป็นทัพหลัง
ฝ่ายท้าวดาหาได้ขอความช่วยเหลือไปยังท้าวกุเรปัน และท้าวกาหลัง และท้าวสิงหาส่าหรี ท้าวกุเรปันส่งราชสารฉบับหนึ่งส่งให้อิเหนายกทัพมาช่วยท้าดาหาทำศึก อีกฉบับส่งไปให้ระตูหมันหยาโดยตำหนินางจินตหราว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดศึกครั้งนี้ ระตูหมันหยารู้สึกผิดจึงเร่งให้อิเหนายกทัพไปเมืองดาหา ส่วนท้าวกาหลังให้ตำมะหงงกับดะหมังคุมทัพมาช่วย ท้าวสิงหัดส่าหรีส่งสุหรานากงผู้เป็นโอรสมาช่วยรบ
เมื่อทะที่ช่วยเมืองดาหารบมาครบกันแล้ว อิเหนามีบัญชาให้จักทัพรบกับท้าวกะหมังกุหนิง ครั้นทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน สังคามาระตาเป็นคู่ต่อสู้กับวิหยาสะกำและสังหารวิหยาสะกำได้ ท้ากะหมังกุหนิงเห็นโอรสถูกสังหารตกจากม้าก็โกรธ ขับม้าไล่ล่าสังคามาระตา อิเหนาจึงเข้าสกัดและต่อสู้ ทั้งสองฝ่ายฝีมือเท่าเทียมกัน จนในที่สุดอิเหนาจึงใช้กริชสังหารท้าวกะหมังกุหนิงได้ ทัพฝ่ายท้าวกะหมังกุหนิงจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น